ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมกันสร้างลานเจดีย์และองค์พญานาคทางเข้าพระเจดียศรีทศพลบรมไตรโลกนาถ ณ วัดน้ำเขียว (บุญช่วยสามัคคีธรรม) ต.กองทูล อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อถวายเป็นไตรรัตนบูชา

ว่านสิงหโมรา






โมรา ชื่อวิทยาศาสตร์ Cyrtosperma johnstoni N.E.Br.
 จัดอยู่ในวงศ์ ARACEAE
สมุนไพรสิงหโมรา ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกว่า
 ว่านสิงหโมรา ผักหนามฝรั่ง (กรุงเทพฯ) เป็นต้น
ลักษณะของสิงหโมรา
ต้นสิงหโมรา จัดเป็นไม้ล้มลุก ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน
 ลำต้นสั้นพ้นผิวดินขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ลำต้นเป็น
สีชมพูอ่อน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและ
วิธีการแยกหัว เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย
ที่ระบายน้ำได้ดี มีความชื้นสูง และชอบแสงแดดรำไร
 เวลาปลูกให้กลบดินแต่พอมิดหัวเท่านั้น
ควรนำมาเพาะในกระถางให้ต้นโตพอสมควรก่อน
 แล้วค่อยย้ายไปปลูกในที่ซึ่งเป็นดินโคลนหรือ
ดินเลนหรือจะปลูกในดินร่วนๆ คลุกด้วยใบพืชผุพัง
ก็ได้ รดน้ำแต่อย่าให้น้ำท่วมขัง มักพบขึ้นตาม
บริเวณลำธารที่พื้นเป็นดินโคลนเลนตามป่าดิบชื้น
ทั่วไปที่มีแสง แดดแบบรำ
ใบสิงหโมรา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นกระจุกใกล้ราก
 แทงออกมาจากหัวใต้ดิน ลักษณะของใบเป็น
รูปเงี่ยงใบหอกถึงรูปหัวลูกศร ยาวได้ถึง 60 เซนติเมตร
 ปลายใบแหลม โคนใบเป็นรูปเงี่ยงลูกศร
ส่วนขอบใบเรียบ ท้องใบและหลังใบเรียบ
 ส่วนก้านใบยาวประมาณ 60 เซนติเมตร
มีจุดประสีขาว สีเขียว สีน้ำตาล และชมพู
ส่วนขอบก้านใบมีหนามทู่ เส้นใบเป็นสีชมพู
สดเมื่อยังเป็นใบอ่อน แผ่นใบมีแต้มสีน้ำตาลแดง
 เส้นใบเป็นสีเขียวถึงสีน้ำตาล โคนใบเป็นพูยาว
กาบใบเป็นรูปเรือ สีม่วงเข้มด้านนอก สีเขียว
แกมเหลืองด้านใน
ดอกสิงหโมรา ออกดอกเป็นช่อเป็นแท่งกลมยาว
 แทงออกมาจากกาบใบ ดอกย่อยส่วนใหญ่
จะเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ มีใบประดับ
ขนาดใหญ่คล้ายกาบสีน้ำตาลหุ้มอยู่ด้านหนึ่ง
ผลสิงหโมรา ผลเป็นผลสดมีขนาดเล็ก ผลจะมีเนื้อ
นุ่มหุ้มอยู่ข้างนอก ส่วนภายในจะมีเปลือก
หุ้มเมล็ดที่แข็งมาก
สรรพคุณของสิงหโมรา
ก้าน ใบนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ดองกับเหล้า
 ใช้กินเป็นยาช่วยเจริญอาหาร ช่วยฟอกเลือด
บำรุงโลหิต ซึ่งเหมาะสำหรับสตรี โดยให้
ดื่มกินก่อนอาหารครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ (ก้านใบ)
หรือจะใช้ส่วนของเหง้า กาบต้น หรือทั้งต้นนำมา
ดิงกับเหล้ากินก็มีสรรพคุณบำรุงโลหิตเช่นกัน
 (เหง้า,กาบต้น,ทั้งต้น)
ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง (ก้านใบ,ต้นและใบ)
ต้นและใบมีรสร้อน ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ (ต้นและใบ)
ทั้งต้นนำมาดองกับเหล้ากินเป็นยาช่วย
บำรุงธาตุในร่างกาย (ทั้งต้น)
ช่วยบำรุงกำลัง (ก้านใบ)ใช้ เป็นยาแก้ลมวิงเวียน
บ่อยๆ หน้ามืด ซูบซีด ด้วยการนำต้นและใบมาหั่น
เป็นชิ้นบางๆ ผสมกับมะตูมอ่อนและกล้วยน้ำว้าห่าม
นำมาดองกับเหล้า 15 วัน หรือบดให้เป็นผงละเอียด
ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอน ใช้รับประทาน
ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 เวลา เช้าและเย็น (ต้นและใบ)
ช่วยในการย่อยอาหาร (เหง้า,ก้านใบ,กาบต้น)
ทั้งต้นมีรสร้อน ใช้ดิงกับเหล้าดื่มกินเป็นยาช่วย
ขับน้ำคาวปลาของสตรี (เหง้า,ก้านใบ,กาบต้น,ทั้งต้น)
ดอก มีสรรพคุณช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
 ด้วยการนำดอกมาปิ้งกับไฟให้เหลืองแล้วดองกับเหล้า
 ใช้กินเป็นยาแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรี (ดอก)
ต้นและใบมีรสร้อน มีสรรพคุณช่วยรักษามดลูก
สำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรใหม่ (ต้นและใบ)
ก้าน ใบนำมาดองกับเหล้ากินเป็นยาแก้โรคอยู่ไฟไม่ได้
 หรือโดนเลือดลมกระทำ อันเป็นเหตุให้ผอมแห้ง
แรงถอย โดยท่านให้ดื่มกินก่อนอาหารครั้งละ
2-3 ช้อนโต๊ะ (ก้านใบ, ทั้งต้น)ช่อดอกนำมาปิ้งไฟ
แล้วดองกับเหล้า ใช้กินเป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวาร
 (ช่อดอก)ใบมีรสร้อน นำมาตำพอกผสมกับเหล้า
 ใช้เป็นยาพอกฝีที่ไม่เป็นหนองให้แห้งหายไป (ใบ)
เหง้ามีรสร้อน นำมาฝนกับน้ำหรือฝนกับเหล้าแล้ว
นำไปปิดปากแผลที่ถูกแมงป่องหรือตะขาบกัดต่อย
จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ (เหง้า)
ก้านใบใช้ปรุงเป็นยาดูดพิษ และกำจัดสารพิษต่างๆ
 ภายในร่างกายได้ (ก้านใบ)
ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและบำรุงเส้นเอ็น (ก้านใบ)
นอก จากนี้บางข้อมูลยังระบุด้วยว่าว่านสิงหโมรามี
สรรพคุณเป็นยาแก้โรคเบาหวานและ โรคความดันโลหิต
 โดยวิธีการปรุงเป็นยาให้ใช้ต้นนำมาหั่นให้ละเอียด
(รวมใบ ลำต้น และเหง้าด้วย) นำมาล้างให้สะอาด
แล้วนำไปตากแดดให้แห้งประมาณ 2-3 วัน
หลังจากนั้นนำมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม
กินเป็นประจำทุกวัน หรืออาจใช้ดื่มแทนน้ำเปล่าเลย
ก็ได้ (แต่ข้อมูลตรงส่วนนี้ยังไม่มีรายงานทางเภสัช
วิทยามายืนยันนะครับว่ามีฤทธิ์ ดังกล่าวจริงหรือไม่)